Homestay (2018): หนังที่ชวนตั้งคำถามว่าเราฆ่าตัวตายเพราะใครกันเเน่

 Homestay (2018): หนังที่ชวนตั้งคำถามว่าเราฆ่าตัวตายเพราะใครกันเเน่

เจษฎา บัวบาล (27 กันยายน 2566)


Homestay เป็นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับคนเดินทาง การตั้งชื่อหนังเช่นนี้ล้อไปกับการเปรียบโลกหรือร่างกายนี้ว่าเป็นสิ่งที่พวกเราเข้ามาใช้สอยชั่วคราวเท่านั้น ศาสนาที่เชื่อว่ามีภพหน้ารออยู่ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาสายฮับราฮัมคือ ยูดาห์ คริสต์ อิสลาม ศาสนาที่สอนเรื่องการเวียนเกิดเวียนตาย/สังสารวัฏแบบฮินดู พุทธ หรือแม้กระทั้งศาสนาผีที่เชื่อว่าคนตายไปอยู่อีกภพภูมิหนึ่ง ต่างมองว่าชีวิตนี้เป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งไม่ยาวนานมาก แต่ก็อาจสำคัญมากๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง 


หนังเรื่อง Homestay วางอยู่บนแนวคิดเรื่องภพชาติ โดยใช้ตัวละครที่ต้องจมกับความทุกข์เพราะสังคมรอบข้างเลวร้าย แต่หนังไม่ได้เสนอว่าเราต้องมองโลกในแง่บวก หากแต่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงให้ได้แล้วจะเเข็งเเกร่งขึ้น สิ่งสำคัญคือการ humanize คนรอบข้างว่ามนุษย์ไม่ได้เพอเฟค ดังนั้นคนอื่นจึงไม่จำเป็นต้องดีกับเราแบบที่เราต้องการ และการบอกตัวเองเสมอว่า เรามาอาศัยร่างกาย/โลกนี้เพียงชั่วคราว ก็จะช่วยให้ลดความเครียดในการใช้ชีวิตลง 


ปล. ผมเดาว่าหนังเรื่องนี้คงมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย อาจไม่ใช่เพื่อให้คนยุติการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม/เสรีภาพในทางการเมือง

……………...


Homestay เป็นหนังที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนวนิยายญี่ปุ่นเรื่อง “เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม (Colorful)” ของ Eto Mori หนังผลิตโดยจอกว้างฟิล์มและจัดจำหน่ายโดยจีดีเอช ห้าห้าเก้า โดยออกฉายในปี 2561 เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่ฟื้นขึ้นมาจากตายไป 2 วันในร่างของ “มิน” ผู้ซึ่งฆ่าตัวตายเพราะเบื่อสังคมรอบข้าง การตื่นมาครั้งนี้มาพร้อมกับเงื่อนไขว่า เขาซึ่งถูกลบความทรงจำไปแล้ว ต้องหาสาเหตุการฆ่าตัวตายให้ได้ หากทำได้ก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่หากทำไม่ได้ก็จะต้องตายเมื่อครบ 100 วัน


ในช่วงเเรกๆ เขามีความสุขกับชีวิตใหม่อันนี้ แม้จะจำอะไรไม่ได้เลย แต่ได้รับความรักจากแม่ เพื่อน และเเฟนจนเขาเหมือนจะติดใจ แต่เมื่อต้องทำภารกิจสืบหาสาเหตุการฆ่าตัวตาย และเริ่มค้นพบความจริงไปเรื่อย คือพ่อไม่รับผิดชอบครอบครัว พี่ชายไม่ชอบเขา แม่แอบมีครอบครัวใหม่ และเเฟนก็ใช้ตัวเข้าแลกเพื่อให้ครูส่งไปแข่งต่างประเทศ ทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตใหม่ในสังคมที่เเย่ไม่ได้น่าอภิรมย์ การตายจึงน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า และเข้าใจว่าสมควรแล้วที่เด็กหนุ่มคนก่อนจึงต้องฆ่าตัวตาย 


เขาจึงตอบคำถามกับเทวดาผู้คุมไปว่า “มินฆ่าตัวตายเพราะทุกคน” และนั่นเป็นคำตอบที่ผิด แต่สิ่งที่เขาได้จากการใช้ชีวิตในครั้งนี้คือ การไม่ต้องแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียวหรือมองว่าตัวเองเป็นเหยื่อถูกกระทำอยู่ตลอดเวลา เช่นตอนที่เขารับไม่ได้จากการเห็นครูลวนลามแฟนตัวเอง จากนั้นจึงไปยืนทะเลาะกันบนดาดฟ้าและเหมือนจะตัดสินใจโดดตึก แต่ก็คิดขึ้นได้ว่า “คนที่ควรฆ่าตัวตายเพราะเหตุการณ์นั้นคือแฟนเขาต่างหาก ที่ทำตัวไร้ค่า ไม่ใช่เขาซึ่งไม่ได้ทำผิดอะไรเลย”


เขาใช้ชีวิตมาเรื่อยๆ จนเกือบจะครบ 100 วัน โดยได้เรียนรู้มุมดีดีของคนรอบข้างมากขึ้น พ่อเอาแหวนที่ขโมยไปมาคืนแม่ แม่เลิกกับแฟนใหม่เพราะอยากให้เขาสบายใจ พี่ชายก็แสดงออกว่าเป็นห่วงเขา ฯลฯ จนเขาตอบเทวดาผู้คุมในวินาทีสุดท้ายว่า “มินฆ่าตัวตายเพราะตัวมันเอง” คือมองไม่เห็นความดีของคนอื่นๆ เลยแม้แต่เพื่อนคือ “ลี้” ซึ่งดีกับมินมาเสมอทั้งชีวิตเก่าและชีวิตใหม่ และนั่นเป็นคำตอบที่ถูกต้อง เขาได้รับรางวัลด้วยการให้มีชีวิตอยู่ได้ต่อไป 


การเถียงกันว่า การความทุกข์เกิดจากคนรอบข้าง หรือตัวเอง หรือเพราะทั้งสองอย่าง (เช่น คนอื่นทำร้ายเราไม่ได้ เท่ากับเราเอามันมาทำร้ายตัวเอง แบบที่ไลฟ์โคชชอบพูด) ก็ยังเถียงกันได้ต่อไป สิ่งที่หนังเรื่องนี้เสนอไม่ใช่การให้เรามองโลกแต่เเง่ดี หากแต่ให้ใช้เวลาในการมองหาความเป็นจริงให้รอบด้าน และเผชิญหน้ากับมันให้ได้ 


การต้องออกไปทำสิ่งใหม่ๆ ที่เหมือนจะน่าอาย เช่น วิ่งสระผมถอดเสื้อบนสะพานพุทธฯ เพื่อเเก้บน แล้วปลอบตัวเองว่า “ก็อายนะ แต่ไม่เป็นไร เรามาใช้ Homestay นี้แค่ชั่วคราว” หมายถึงแม้จะน่าอาย แต่เดี๋ยวคนก็ลืมเราไปแล้ว มันทำให้คนกล้าออกนอก Comfort Zone ซึ่งหมายถึงจะได้ออกไปเจอสิ่งแปลกใหม่ และจะได้เรียนรู้โลกที่มีทั้งสุข/ทุกข์และเเข็งเเกร่งขึ้นจนอยู่กับโลกนี้ได้    


ภาพจาก https://www.metalbridges.com/homestay/


Comments