ความเข้าใจผิดเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ ในธรรมเทศนาของหลวงปู่อินทร์ถวาย

ความเข้าใจผิดเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ ในธรรมเทศนาของหลวงปู่อินทร์ถวาย

เจษฎา บัวบาล (20 กุมภาพันธ์ 2566)


บทเทศน์ของหลวงปู่เป็นวิธีคิดที่พบเจอได้ทั่วไปในหมู่พระเลย ส่วนหนึ่งเพราะเรามีหลักสูตรนักธรรม/ธรรมศึกษาที่สอนเรื่องอธิปไตย 3 อย่างและในนั้นเสนอว่า ธรรมาธิปไตยสำคัญที่สุด ขณะที่ประชาธิปไตย (หรือ โลกาธิปไตย) เป็นการยึดเสียงข้างมากซึ่งอาจผิดก็ได้เพราะคนมีกิเลส แต่การยึดธรรมะโดยเฉพาะอย่างยิ่งของศาสนาพุทธ เป็นสิ่งที่ดีงามสูงส่ง ระบบการเรียนของพระ รวมทั้งระบบสมณศักดิ์ที่เป็นอยู่ ทำให้พวกเขาเข้าใจประชาธิปไตยผิดและดูถูกประชาธิปไตยเป็นพื้นอยู่แล้ว

คลิป 3 นาทีที่ตัดมาจากการบรรยายธรรมเรื่อง “พระป่าไม่ทิ้งชาติบ้านเมือง : 11 ก.พ. 66 เช้า | หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก” (ดูคลิปเต็มในลิ้งค์ท้ายบทความ) ต้องยอมรับว่าหลวงปู่และพระไทยหลายรูปได้ทำคุณูปการอื่นๆ อย่างมาก เช่น มอบทุนการศึกษาให้เด็กยากจน ฯ แต่ในที่นี่จะเน้นประเด็นความเข้าใจของท่านเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพเท่านั้น

1. หลวงปู่เข้าใจผิดไปว่า ประชาธิปไตยเป็นเรื่องของกิเลสที่ไม่มีคุณธรรมอยู่เลย ท่านยกตัวอย่างคนขาวเหยียดคนดำหรือคนผิวเหลือง ขณะที่พุทธศาสนาสอนให้มีเมตตาและไม่ทำร้ายใคร ความจริงคือเราสามารถเป็นคนพุทธที่มีคุณธรรมแบบที่หลวงปู่ว่าได้ภายใต้การปกครองแบบประชาธิปไตย ระบอบนั้นไม่ได้ห้ามให้เราทำตามศีลห้า ไม่ได้ห้ามให้เรารักสรรพสัตว์ แต่มันเป็นระบอบที่ให้ผู้นำมาจากการเลือกของคน และทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน ตรงกันข้าม ระบอบที่ไม่เป็นประชาธิปไตยจะมีคนปล้นอำนาจขึ้นมาปกครองคนอื่น อาจอ้างคุณความดีแล้วอยู่เหนือคนอื่น มีการใช้อำนาจ/กินเงินภาษีประชาชนและยากที่จะตั้งคำถาม/ตรวจสอบได้

2. การที่โลกตะวันตกมีข่าวเรื่องการเหยียดสีผิว นั่นเป็นการสะท้อนความบกพร่องที่ไม่มีวิธีคิดแบบประชาธิปไตย ไม่ใช่เพราะประชาธิปไตย และการที่คนจำนวนมากออกมาเดินขบวนเรียกร้องให้ความเป็นธรรมแก่คนผิวดำ จนเกิดเป็นข่าวไปทั่วโลก เพราะเขายึดหลักการประชาธิปไตยหรือคนเท่ากันนั่นเอง ในทางตรงกันข้าม หากเหตุการณ์เดียวกันเกิดขึ้นในบ้านเราหรือมีคนถูกอุ้มฆ่า ยัดปูน ลอยน้ำ ก็แทบจะไม่มีคนออกมาเดินขบวนใหญ่แบบที่ตะวันตกเป็น เพราะสังคมไทยไม่ได้เห็นคุณค่าของเพื่อนมนุษย์คนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาตายเพราะท้าทายอำนาจดั้งเดิม อย่างน้อยที่สุดหลวงปู่เองก็ไม่ได้เเสดงให้เห็นว่าสะเทือนใจกับการตายเช่นนี้ในประเทศไทย

3. หลวงปู่เปรียบเทียบสถาบันทั้งสามคือ ชาติ พุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์ ว่าเป็นเหมือนมีด/พร้า ที่ให้คุณให้โทษได้ แล้วบอกว่า ถ้าวางไว้อย่างนั้นก็ไม่มีพิษมีภัย หลวงปู่ไม่ทราบว่ามีคนเอาสิ่งนี้ (ซึ่งมีคม) มาจัดการคนอื่น เช่นดำเนินคดีคนที่วิพากษ์วิจารณ์ / ตั้งคำถามกับสถาบันพระมหากษัตริย์ จนต้องติดคุก ทั้งที่เขาแสดงให้เห็นว่านั่นแค่การตั้งคำถาม/วิพากษ์ ไม่ใช่อาฆาตมาดร้าย เช่น กรณีทำโพล์ถามว่าขบวนเสด็จทำให้คุณเดือนร้อนไหม ฯลฯ

หลวงปู่มองว่าคนที่มากล้ำกราย (ก้าวล่วง?) สิ่งเหล่านั้น เพราะเขาอยากมีอำนาจ อยากดูถูก ยกตัวเองข่มผู้อื่น อันนี้เป็นอคติของพระที่กล่าวไว้ตอนต้น คือมองว่าประชาธิปไตยหรือสิทธิเสรีภาพเป็นเรื่องกิเลสที่เลวร้าย ทั้งที่การต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยคือการต่อสู้เพื่อเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ ไปด้วย (การกระทำเช่นนี้อาจเรียกว่าเป็นพระโพธิสัตว์ด้วยซ้ำ) คือเขาไม่ได้เรียกร้องให้ตัวเองได้สิทธิพิเศษที่มากกว่าคนอื่นๆ (ไม่ได้เรียกร้องให้ตัวเองขึ้นเป็นนายกโดยไม่ต้องเลือกตั้ง เป็นต้น) แต่เรียกร้องให้ทุกคนกลับมาเป็นมนุษย์ที่เสมอกัน สถานะ/ตำแหน่งของผู้นำหรือผู้รับเงินภาษีจะต้องยึดโยงกับประชาชน และการตั้งคำถามหรือตรวจสอบเป็นสิ่งปกติที่ทำได้ ไม่ใช่การต้องถูกลงโทษ/ทำร้าย หรือถูกกล่าวหาว่ายกตนข่มผู้อื่น แบบที่หลวงปู่เข้าใจ

ดูคลิปเต็มเรื่อง

พระป่าไม่ทิ้งชาติบ้านเมือง : 11 ก.พ. 66 เช้า | หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก

https://www.youtube.com/watch?v=TyONCNJ7bSA&t=1476s

Comments