การฆ่าตัวตาย: นิยามความดี/ความชั่วที่รัฐมอบให้

การฆ่าตัวตาย: นิยามความดี/ความชั่วที่รัฐมอบให้

เจษฎา บัวบาล

18 เมษายน 2564



ผมเคยเขียนเรื่อง "การฆ่าตัวตายไม่ใช่สิ่งเลวร้าย" ไว้เมื่อปี 2562 เพื่อถกกับแนวคิดแบบพุทธเถรวาท ที่ชอบตัดสินความผิดของคนผ่านจิตที่ดี/ไม่ดี ก่อนตาย และมักจะตราหน้าคนฆ่าตัวตายว่ามีจิตไม่ดีจึงต้องไปทุคติ ทั้งที่เราไม่ทราบได้เลยว่าก่อนตายแต่ละคนมีจิตอย่างไร ตัวอย่างในพุทธกาลมักพบว่า หากพระฆ่าตัวตายแบบปัจเจก พระพุทธเจ้ามักไม่ตำหนิและอธิบายว่าเขาบรรลุธรรมแล้ว แต่พระองค์จะตำหนิพระที่ฆ่าตัวตายหมู่ แม้จะเป็นอริยบุคคลก็ตาม (วินัย.มหาวิภังค์. ข้อ 176-179) ซึ่งผมสันนิษฐานว่า เป็นการตำหนิเพื่อเอาใจพระราชา ว่าศาสนาของพระองค์ไม่ได้ส่งเสริมการทำเช่นนั้น ในรัฐที่ต้องการจำนวนพลเมือง (มากกว่าเขตแดน)


เนื่องจากเกิดกรณี "พระธรรมกรตัดคอตนเองถวายเป็นพุทธบูชา" เมื่อวันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา ได้เกิดการวิจารณ์จากชาวพุทธว่า "ท่านไม่เข้าใจหลักคำสอนที่แท้จริง" ในบทความนี้ ผมจึงอยากเพิ่มกรณีตัวอย่างของคัมภีร์พุทธ เพื่อให้เห็นว่า "สิ่งที่ท่านธรรมกรทำยังอยู่ในแนวทางพุทธ" และโยงให้เห็นว่า พุทธแบบไทยต่างหาก ที่ไม่หลากหลายพอจนมักจะตราหน้าคนคิดต่างว่าเป็นพวกเห็นผิด ต้องถูกปรับทัศนคติ


การฆ่าตัวตายเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาพบหลายครั้งมากในคัมภีร์พุทธ เริ่มจากเรื่องพระมังคลพุทธเจ้า (อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ 3) ตั้งแต่ขณะเป็นโพธิสัตว์ ปรารถนาจะเผาตัวเอง เพื่อจุดเป็นประทีปถวายเจดีย์ของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ด้วยอานิสงส์นั้น ทำให้ท่านได้มีรัศมีโชติช่วงในภพที่ได้เป็นพระพุทธเจ้า แน่นอนว่านั่นคือการฆ่าตัวตายเพื่อถวายแก่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า แต่โชคดี ที่คัมภีร์เล่าให้เห็นปาฏิหาริย์ว่า ไฟนั้นไม่เผาพระโพธิสัตว์แม้แต่เส้นขน ท่านจึงไม่ถูกครหาว่าโง่ (ในแบบคนอื่นๆ ที่ทำเช่นนั้นและต้องตายจริง)


เรื่องของพระโพธิสัตว์ในชาติที่เกิดเป็นกระต่าย (อรรถกถา ขุททกนิกาย สสบัณฑิตชาดก 6) ก็ทำนองเดียวกัน ตั้งใจว่าหากใครมาขออะไร ก็จะให้กระทั่งชีวิตตัวเอง และเมื่อพระอินทร์แปลงกายมา พระโพธิสัตว์ก็ขอให้ท่านจุดไฟ และกระโดดเข้ากองไฟ "ด้วยจิตใจรื่นเริง" เพื่อให้เนื้อที่ย่างนั้นเป็นทาน แต่สุดท้ายไฟก็ไม่ไหม้ แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ต้องการสื่อถึงอานุภาพบุญบารมี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า หากมองว่าการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องโง่เขลา พระโพธิสัตว์เหล่านี้ก็โง่เขลาเช่นกัน


พระโพธิสัตว์เคยอุทิศชีวิตให้แก่แม่เสือหิวที่กำลังจะกินลูกเล็กๆ ของตน (Jatakamala 1) ด้วยการกระโดดลงหน้าผา เพื่อสะท้อนความเมตตากรุณาที่ไร้ขีดจำกัด ซึ่งพฤติกรรมนี้ได้ถูกยกย่องโดยศิษย์และกลายมาเป็นชาดกเรื่องหนึ่ง แน่นอนว่าไม่มีใครมองว่าพระโพธิสัตว์โง่ หรืออย่างน้อยก็ควรเปรียบเทียบว่าชีวิตมนุษย์สำคัญกว่าสัตว์เดรัจฉาน การจะเข้าใจอันนี้อาจต้องสวมวิธีคิดของมหายานและวัชรยาน ที่ให้เกียรติทุกชีวิต ในขณะที่เถรวาทซึ่งมองว่าการฆ่าสัตว์เป็นบาปเล็กน้อย หรือการกินเนื้อสัตว์ไม่ใช่เรื่องผิดบาป อาจไม่อินน์กับชาดกเรื่องนี้


ถ้าจะเอาเรื่องพุทธแบบปัจจุบัน เราจะมองได้ไหมว่า การที่พระพุทธเจ้าสามารถอยู่ได้ถึงหนึ่งกัลป์ (อาจหมายถึง 120 ปี) แต่ตัดสินใจตายไปก่อนตั้งแต่ 80 ปี นั่นถือเป็นการฆ่าตัวตายไหม อาจหมายถึงการปฏิเสธการรักษา (letting die) หรือกรณีพระอานนท์ ที่ใช้เตโชกสิณระเบิดร่างตนเองให้สรีระแบ่งเป็นสองฝั่งแม่น้ำโรหิณีเพื่อญาติทั้งสองฝั่ง (84000.org) แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ถูกมองว่าผิดหรือโง่ เพียงเพราะเชื่อว่า ท่านเหล่านั้นมีปัญญาและทำโดยใจไม่เศร้าหมอง แต่เราก็รีบตราหน้าคนอื่นๆ ที่เราไม่เชื่อว่าบรรลุธรรม ว่าต้องเป็นพวกโง่เขลา เป็นมิจฉาทิฎฐิ


การมองจากนอกกรอบของคนที่ไม่อินน์กับศาสนาหรือปณิธานบางอย่าง อาจไม่ต่างจากการเมือง ที่เรามักมองคนที่สละชีวิตตัวเองเพื่ออุดมการณ์บางอย่าง ว่าล้วนเป็นความโง่เขลา ทำไมจึงยอมแลกชีวิตที่ยิ่งใหญ่กับอุดมการณ์เล็กน้อยแค่นี้ แต่สำหรับคนที่เขาทำเช่นนั้น มันผ่านการคิดมาอย่างดีแล้ว (แน่นอนว่าคนละกรอบกับที่เรามอง) เราแค่ไม่ควรมองว่า ใครก็ตามที่ไม่ได้สู้ในแนวทางของเราต้องเป็นคนโง่ แน่นอนว่าเรามีสิทธิห้ามหรือโน้มน้าวให้เขาเห็นด้วยกับวิธีของเรา แต่การมองว่าเขาไม่ฉลาดเป็นการไม่พยายามเข้าใจเขาด้วยอุดมการณ์อีกชุดหนึ่ง


กรณีของพระธรรมกร ก็คล้ายการถวายคางของพระเทวทัต ซึ่งแน่นอนว่า แม้ประวัติพระเทวทัตจะดูเลวร้ายมาตลอด แต่ช่วงบั้นปลายที่เขาสำนึกผิด และถวายคางซึ่งกำลังจะจมดินลงไปให้เป็นพุทธบูชา พฤติกรรมนี้ได้รับการยกย่อง และยังเชื่อกันอีกว่า ท่านจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคตอีกด้วย


มีตอนหนึ่งในคำอธิฐานของพระธรรมกร ที่ระบุว่า “ข้าพระพุทธเจ้า ขอสักการะบูชา พระบรมสารีริกธาตุ สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยศีรษะของข้าพระพุทธเจ้า ด้วยกุศลแห่งการบูชานี้ จงเป็นพละปัจจัย เป็นอุปนิสัย ตามส่งให้ข้าพระพุทธเจ้า บรรลุปัจเจกโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคตกาล เบื้องหน้านี้ด้วยเทอญ”(Bright TV, 2564)


พุทธเถรวาทไทย ได้ถูกชำระให้สะอาดในหลายรอบ พุทธทาสและปยุตฺโต เป็นคนสำคัญที่ผลิตคัมภีร์ขึ้นมาใหม่ โดยได้รับอิทธิพลความเป็นสมัยใหม่ ที่ทำให้ศาสนามีเหตุมีผล และตัดเรื่องราวของพุทธศาสนาเดิมจำนวนมากทิ้งไป (มักอ้างว่า พราหมณ์แต่งยัดใส่พระโอษฐ์) คนไทยโดยเฉพาะพวกสนใจศาสนาแบบชนชั้นกลาง จึงมักจะเสพธรรมะจากสองท่านนี้ และหลงรู้สึกไปตามว่า พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์มีเหตุมีผล


ตัวอย่างที่ชัดคือ ชาวพุทธจำนวนมากมองว่า พฤติกรรมของพระธรรมกรเป็นเรื่องนอกรีต การเป็นเถรวาทที่ดีต้องเป็น "สาวก" ที่มุ่งการพ้นทุกข์ให้เร็วที่สุดเท่านั้น ความทุกข์ในสังสารวัฏเป็นเรื่องลำบากที่ควรรีบสลัดไปให้พ้น ใครไม่อยากเป็นสาวก แต่อย่างเป็นพระพุทธเจ้าหรือปัจเจกพุทธเจ้าถือเป็นเรื่องไม่ปกติหรือโง่ เพราะยังต้องใช้เวลาอีกยาวนานในการบำเพ็ญบารมี


ประเด็นคือ ถ้ามีคนอยากเลือกแบบนั้น เขาผิดตรงไหนครับ และเเน่นอน ว่าการเข้าสู่พุทธวงศ์เป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นการทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ สวดมนต์ ใส่บาตร นั่งสมาธิ เป็นเรื่องเล็กเกินไป ไม่ท้าทายหรือหลุดกรอบเท่ากับวิถีโพธิสัตว์ แต่ทั้งนี้ กรณีแบบที่ว่าก็มีตัวอย่างมามาก ไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ที่เขาเพิ่งทำกัน จนต้องรีบประณามว่าเป็นมิจฉาทิฎฐิ


ที่จริง การไม่ยอมเป็นสาวก (ผู้ฟัง) เท่ากับสะท้อนระดับความจงรักภักดีด้วย ว่าเขาไม่พอใจกับขั้นบรรลุธรรมหรือพ้นทุกข์แบบพื้นฐาน แต่เขาอยากเป็นในระดับเดียวกับศาสดา คือ พระพุทธเจ้า (หรือปัจเจกพุทธเจ้า) ซึ่งตามความเชื่อแบบพุทธ ทุกคนมีศักยภาพที่จะเป็นได้ ความปรารถนาแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกในพุทธศาสนามหายานและวัชรยาน แต่สำหรับเถรวาทซึ่งต้องการสร้างสาวกผู้จงรักภักดีอาจดูเป็นเรื่องไม่ปกติ


รัฐที่สนใจความมั่นคง อยากให้คนเป็นแบบเดียวกัน จะรู้สึกกลัวหากเกิดกรณีคนออกนอกกรอบเช่นนี้ ที่มากกว่านั้นคือ หากคนเหล่านี้มีลูกศิษย์มากก็ยิ่งน่ากลัว กรณีธรรมกายอาจเป็นตัวอย่างในปัจจุบันได้ เพราะไม่ได้สอนให้รีบบรรลุธรรมแบบเถรวาทกระเเสหลักเน้น แต่เป็นการขนย้ายคนไปดุสิตบุรีเพื่อสร้างบารมีช่วยโลกกันต่อ


ตำแหน่งโพธิสัตว์หรือพุทธเจ้าจึงมักถูกสงวนใว้ให้ชนชั้นปกครอง กษัตริย์หรือพระบรมโพธิสมภาร เป็นตำแหน่งที่ได้รับความชอบธรรมจากพุทธศาสนา ไม่เพียงปกครองในทางโลกเท่านั้น หากแต่ควรจะเป็นศาสนูปถัมภกหรือหัวหน้าผู้นำพาสรรพสัตว์ไปสู่การบรรลุธรรมด้วย ตำแหน่งนี้จึงไม่ควรมีหลายคน กรณีของครูบาศรีวิชัย ผู้ถูกกล่าวหาว่าครอบครองดาบของพระอินทร์และให้ภาพของผู้มีบารมีปกครองบ้านเมือง จึงต้องถูกจัดการด้วย (Bowie, 2014) และเรามักจะได้ยินเรื่องราวการถอนพุทธภูมิของครูอาจารย์ดังๆ เช่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่สิงห์ ที่ขอลดตำแหน่งตนเองมาเป็น "สาวก" ผู้เชื่อฟังเท่านั้น ตามจารีตเถรวาทแท้ภายใต้รัฐไทย


กล่าวโดยสรุปคือ การเชื่อว่า การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องดีหรือไม่ แบบที่เราใช้ตัดสินกัน ไม่ได้เป็นเรื่องศาสนาล้วนๆ เพราะตัวศาสนาเองก็เสนอมิติที่หลากหลาย หากแต่ยังเป็นความพยายามของรัฐ ที่ใช้อำนาจจัดการนิยามพวกนั้น และเลือกผลิตซ้ำคำสอนบางอย่างมารับใช้ตน โดยลดทอนคำสอนที่หลากหลายอย่างอื่นทิ้งไป หรือทำให้คนรู้สึกว่า พฤติกรรมอย่างอื่นเป็นเรื่องงมงาย ทั้งที่สิ่งนั้นก็มีปรากฏในคัมภีร์พุทธเช่นกัน แท้จริงรัฐมีอำนาจมาก ทั้งให้การศึกษาและออกกฎหมาย ตั้งแต่บอกว่าเราควรมีชีวิตอย่างไร มีลูกกี่คน จะตายได้ไหม (เช่น บางคนต้องเลือกไปจบชีวิตที่สวิตเซอร์แลนด์)


อ้างอิง

เจษฎา บัวบาล (2562) การฆ่าตัวตายไม่ใช่สิ่งเลวร้าย. ประชาไท 14 เมษายน เข้าถึงได้จาก https://bit.ly/2REfBcZ.

วินัยปิฎก มหาวิภังค์ ข้อ 176-179 เข้าถึงจาก https://bit.ly/3ds6mFl.

อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ 3 เข้าถึงจาก https://bit.ly/32rxdei.

อรรถกถา ขุททกนิกาย สสบัณฑิตชาดก 6 เข้าถึงจาก https://bit.ly/3mXEX1c.

Bowie, K. (2014). The Saint with Indra's Sword: Khruubaa Srivichai and Buddhist Millenarianism in Northern Thailand. Comparative Studies in Society and History, 681-713.

Bright TV. (2564). ศาสนาพุทธ หรือ ลัทธิสยอง เจ้าสำนักสงฆ์ตัดหัวตนเอง ถวายเป็นพุทธบูชา. 18 เมษายน. เข้าถึงจาก https://bit.ly/32Cnq5v.

Jatakamala 1: The Story of the Tigress (Dāna). Accessed from https://bit.ly/3sraZDR.

84000.0rg. พระอานนท์เถระ เอตทัคคะในทางผู้เป็นพหูสูตร เข้าถึงจาก https://bit.ly/3n0jLb0.

ภาพจาก : https://bit.ly/3duHo8u

Comments